วันเสาร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ยิ่งกว่าทหาร คือ? Part 3

ในบทความสุดท้ายนี้ เราจะมาดูกันว่าหน่วยรบพิเศษของไทยที่เหลือนั้น มีอะไรบ้าง

6.หลักสูตร ช่วยเหลือและค้นหาผู้ประสบภัย. ( rescue )   หรือ มนุษย์กบตำรวจ
หลักสูตร Sea Air Rescue หรือกู้ภัย 3 มิติ (มนุษย์กบตำรวจ) ถือเป็นหลักสูตรรบพิเศษทางน้ำ ของตำรวจพลร่ม  เป็นหนักสูตรที่หนักที่สุดของตำรวจ ความหนักหนาเทียบเท่ากับรีคอนของนาวิกโยธินเลยทีเดียว คนจบน้อยมาก เพียงแต่การฝึกหลักสูตรนี้จะเน้นไปด้านการกู้ภัยและกู้ชีพในทุกสภาวะการ จะมีภาคการรบพิเศษหรือปฏิบัติการพิเศษอยู่เล็กน้อย ในขณะที่รีคอนเน้นไปทางด้านการรบพิเศษของทหารแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ 


7.หลักสูตรต้านก่อการร้าย (นเรศวร 261 และ อรินทราช 26)
หลักสูตร ต่อต้านก่อการร้าย   โดยจะฝึกให้กับกำลังพลของ หน่วยนเรศวร 261 ค่ายนเรศวร และ หน่วยอรินทราช 26  ของกองบัญชาการตำรวจนครบาล  โดยแบ่งพื้นที่รับผิดชอบให้ หน่วยอรินทราช 26  รับผิดชอบพื้นที่ ในกทม.  และ หน่วยนเรศวร 261  รับผิดชอบ พื้นที่ทั่วประเทศ หลักสูตรดังกล่าว  ปัจจุบัน เปิดทำการอบรมที่  ค่ายนเรศวรเป็นหลัก  เว้นแต่ว่า หน่วยอรินทราชจะมีกำลังมาใหม่และเพียงพอ ถึงจะเปิดฝึกเอง    ระยะเวลากว่า 4 เดือนเศษ  สำหรับหลักสูตรต่อต้านก่อการร้าย หล่อหลอมให้ตำรวจ กลายเป็นตำรวจรบพิเศษ ได้เลยทีเดียว สถานที่ฝึก ค่ายนเรศวร  (นเรศวร 261)  และ กองกำกับการต่อต้านก่อการร้าย  (อรินทราช 26 )






8.หลักสูตรเก็บกูวัตถุระเบิด eod (ทั้ง 4 เหล่าทัพ)
หลักสูตรเก็บกู้วัตถุระเบิด ภาษาอังกฤษ​  Explosive Ordnance Disposal   หรือ นักทำลายล้างวัตถุระเบิด สำหรับหลักสูตรนี้  ลักษณะการฝึกจะคล้ายๆกัน ทั้ง 4 เหล่า แต่จะแต่งต่างกันไป ตามสภาพของแต่ละเหล่า
กองทัพบก เรียก  หลักสูตรนักทำลายล้างวัตถุระเบิด
กองทัพเรือ เรียก หลักสูตรถอดทำลายอมภัณฑ์กองทัพเรือ
กองทัพอากาศ เรียก หลักสูตรนักทำลายล้างวัตถุระเบิดกองทัพอากาศ
สำนักงานตำรวจแห่งขาติ เรียก หลักสูตรเก็บกู้วัตถุระเบิด
เมื่อเอ่ยคำว่า eod ในหมู่ทหารตำรวจ คงจะคุ้นหูกันดีกว่า เป็นหน่วยเก็บกู้ระเบิดของแต่ละเหล่าทัพแม้จะเป็นหลักสูตรที่ไม่หนักมาก เน้นการอบรม และฝึกเทคนิคทางยุทธวิธี ในการเก็บกูวัตถุระเบิดซะมากกว่าแต่ก็มีความจำเป็นอย่างมากที่  หน่วยรบพิเศษ ต้องมีติดตัว  โดยเฉพาะนักล่าเครื่องหมายของแต่ละเหล่ามีความใฝ่ฝันที่จะสอยเอามาประดับบนบ่า เพื่อเสริมเขียวเล็บในการปฏิบัติหน้าที่อีกด้วย ระยะห่วงการฝึก  3 เดือน  (แล้วแต่เหล่า) ระดับการฝึก  ตามสภาพ




ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ตั้งเเต่ต้น ล้วนเป็นหลักสูตรหน่วยรบพิเศษที่ถือว่าเป็นหลักสูตรเหนือมนุษย์ เเต่การฝึกทั้งหมดนี้เพื่อสร้างความเเข็งเเกร่งให้กับเหล่าทหาร มีความพร้อมที่ปฏิบัติหน้าที่ในทุกสถานการณ์ 






ยิ่งกว่าทหาร คือ? Part 2



มาต่อกันจากบทความที่แล้วนะครับ เกี่ยวกับหลักสูตรหน่วยรบพิเศษของไทย
2.หลักสูตรการรบแบบจู่โจม หรือ เสือคาบดาบ

หลักสูตรการรบแบบจู่โจม หรือ เสือคาบดาบเป็นหลักสูตรหลักของกองทัพบก เน้นการลาดตระเวน  ระดับหมู่ ประกอบด้วย ภาคที่ตั้ง ภาคป่าเล็กหรือป่าราบ  ภาคทะเล  ภาคป่าภูเขา ถือว่าเป็นหลักสูตร ที่เป็นทีหมายปองสำหรับ ทหารหารทั้งหลาย  ว่าซักครั้งในชีวิตต้องเอามาประดับบ่าเบื้องขวาให้ได้ สถานที่ฝึก ศูนย์การทหารราบ ค่ายธนรัตน์ , โรงเรียนสงครามพิเศษค่ายเอราวัณ ,ศูนย์การทหารม้า ระยะเวลา  10 สัปดาห์ ประมาณ​ 3 เดือน


3.หลักสูตรลาดตระเวนสะเทินน้ำสะเทินบกและจู่โจมนาวิกโยธิน (Recon)
Recon ชื่อเต็มๆ คือ หลักสูตรลาดตะเวนสะเทินน้ำสะเทินบกและจู่โจมนาวิกโยธิน  กองทัพเรือ  สังกัดกองพันลาดตระเวน กองพลนาวิกโยธิน  ถือได้ว่าเป็นหลักสูตรติอันดับ หลักสูตรหนึ่ง ของประเทศไทย และเป็นของกองทัพเรือ  ระยะการฝึก 3 เดือน  แบ่งออกเป็น 3 ภาค ครับภาคที่ตั้ง ภาคทะเล และภาคป่าภูเขา   ลักษณะการฝึกจะคล้ายๆกับ จู่โจมของทหารบก  แต่จะมีภาคน้ำเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย  โดยเฉพาะเกณฑ์ผ่านที่ท้าทายคือ ว่ายน้ำกลางคืนและว่ายน้ำ 5 ไมล์ทะเล (ประมาณ 9 กิโล) การพีที ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตก สถานที่ กองพันลาดตระเวน  หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน


4.หลักสูตรนักทำลายใต้น้ำจู่โจม หรือ มนุษย์กบ (seal )
ระยะการฝึก ถึง 7 เดือนครึ่ง (ประมาณ 8 เดือน)  ประกอบกับความเข็มข้นในการรบทุกรูปแบบ ทั้งฟ้า ฝั่ง หลักสูตรนี้นำรูปแบบมาจากรูปแบบการฝึกของสหรัฐอเมริกา เดิมทีเป็นหลักสูตรทีมทำลายใต้น้ำ UDT (Underwater Demolition Team)ต่อมาสหรัฐต้องการให้หน่วยนี้ ปฏิบัติงานให้มีขอบเขตกว้างขวางมากขึ้น จึงพึ่งหลักสูตรการรบแบบ 3 มิติ น้ำ ฟ้า ฝั่ง จึงเพิ่มการฝึกแบบ Seal เข้าไป (Sea Air Land ) สถานที่ฝึก  หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ  (เกาะพระ)


5.หลักสูตรปฏิบัติการพิเศษ  อากาศโยธิน  (COMMANDO & Pj  & CCT )
สุดยอดหลักสูตร ของอากาศโยธิน หลักสูตรต่อต้านก่อการร้าย ทัพอากาศ คอมมานโด ทอ. หรือ pj anti hi – jack เป็นคำพูดติดหูสำหรับหลักสูตร ปฏิบัติการพิเศษ อากาศโยธิน ด้วยรูปแบบการฝึกการ ต่อต้านการก่อวินาศกรรมบนเครื่องบิน และต่อต้านการก่อการร้าย สากล  ทำให้หลักสูตรนี้ออกแบบมาเพื่อพัฒนากำลังพล เพื่อใช่ในการปฏิบัติการพิเศษ บนอากาศยานและตัวเครื่องบิน เป็นหลักสูตร  ทัพฟ้าเลยทีเดียว สถานที่ หน่วยบัญชาการอากาศโยธิน ระยะการฝึก
 6 เดือน



หลักสูตรหน่วยรบพิเศษของไทยยังไม่หมดเพียงเเค่นี้ โปรดติมตามในบทความสุดท้ายนะครับ








ยิ่งกว่าทหาร คือ?

หลักสูตรหน่วยรบพิเศษไทยที่ควรรู้
ถ้าพูดถึงการเป็นทหารต้องพบกับการฝึกที่หนักแล้ว ทหารยังมีหลักสูตรที่ฝึกหนักและโหดยิ่งกว่าเพื่อก้าวสู่การเป็นหน่วยรบพิเศษ ประเทศไทยมีหลักสูตรขึ้นชื่อหลักๆ 8 หลักสูตร ซึ่งหลักสูตรหน่วยรบพิเศษของไทยมีอะไรบ้างและฝึกอย่างไร มาดูกันเลย

1.หลักสูตรทหารเสือราชินี

   การดำเนินการฝึกได้กำหนดให้มีการฝึก ผสมผสานในทุกรูปแบบ ระยะเวลาในการฝึกทั้งสิ้น ๑๖ สัปดาห์ แบ่งการฝึกออกเป็น ๕ ภาค คือ  ภาคที่ตั้ง ใช้ระยะเวลา ๔ สัปดาห์ ใช้พื้นที่ภายในค่ายนวมินทราชินี จังหวัดชลบุรี การฝึกในภาคนี้ความมุ่งหมายเพื่อปรับสภาพร่างกายและจิตใจ เตรียมร่างกายในการ เข้ารับการฝึกใน ภาคต่อ ๆ ไป 



ภาคป่า-ภูเขา ระยะเวลา ๔ สัปดาห์ ใช้พื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยมีแนวคิดในการฝึกกล่าวคือ นำผู้เข้ารับการฝึก ทำการแทรกซึมทางอากาศด้วยอากาศยาน   

 ภาคทะเล ระยะเวลา ๓ สัปดาห์ ใช้พื้นที่บริเวณชายฝั่งของจังหวัดชลบุรี และจังหวัดระยอง การฝึกในภาคนี้ จะมุ่งเน้นในเรื่องการแทรกซึมทางน้ำ การดำน้ำ ทางยุทธวิธี,การใช้เรือยาง,การลาดตระเวนชายฝั่ง,การยุทธสะเทินน้ำสะเทินบก,การกระโดดร่มลงทะเล,ประเพณีชาวเรือ และดำรงชีพในทะเล 


 ภาคปฏิบัติการในเมือง ระยะเวลา ๓ สัปดาห์ ใช้พื้นที่จังหวัดชลบุรี และกรุงเทพมหานคร การฝึกมุ่งเน้นในเรื่องการปฏิบัติในพื้นที่สิ่งปลูกสร้าง การต่อต้าน การก่อการร้ายสากล การชิงตัวประกัน การขับขี่จักรยานยนต์ทางยุทธวิธี รวมถึงการฝึกยิงปืนพกระบบ PPC   ภาคอากาศ ระยะเวลา ๗ สัปดาห์ ใช้พื้นที่ภายในค่ายนวมินทราชินี ความมุ่งหมายในการฝึกภาคนี้ คือ ให้ผู้เข้ารับการฝึกมีขีด ความสามารถ ในพื้นฐานของการกระโดดร่มแบบกระตุกเอง การบังคับร่ม การพับร่ม และการแก้ไขเหตุติดขัด  เมื่อจบการฝึกแล้วกำลังพลที่สำเร็จการฝึกหลักสูตรทหารเสือทุกนาย จะได้รับพระราชทานเครื่องหมาย แสดงขีดความสามารถทหารเสือ จากสมเด็จพระนาง เจ้าสิริกิติ์ พระบรม ราชินีนาถ องค์ผู้บังคับการพิเศษ กรมทหารราบที่ ๒๑ รักษาพระองค์ ฯ



ในบทความหน้าจะพาไปรู้จักกับหลักสูตรหน่วยรบพิเศษที่เหลือกันนะครับ

เรียน รด. ได้อะไร?

เรียน รด. ได้อะไรมากกว่าที่คุณคิดเยอะ

จากประสบการณ์ที่ผมได้เรียน รด. มานั้นมันเป็นช่วงเวลาที่คนปกติทั่วไปไม่สามารถรับรู้ได้ ผมผ่านการเข้าค่ายมาแล้วหลายครั้งความทรงจำหลายสิ่งที่ผมจดจำและจะไม่มีวันลืม ตั้งแต่ปี 1 ที่ก้าวมาเป็นนักศึกษาวิชาทหาร หรือ รด. ที่หลายๆคนรู้จักเป็นเด็กใหม่ผู้หวาดกลัวกับสิ่งที่ตัวเองยังไม่เคยพบเคยสัมผัส ผมฝึก รด. ปีหนึ่งที่ค่ายพิชิตปรีชากร วันแรกที่ไปอยู่ก็เหมือนใครหลายๆคน ไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง ต้องจากบ้านมาไกลอยู่ในที่ๆไม่คุ้น อยู่กับคนร้อยพ่อพันแม่ ยอมรับว่าผมปรับตัวไม่ทัน ต้องตื่นเช้าตั้งแต่ตีห้า วิ่งทุกเช้าออกกำลังกายทุกเย็น แรกๆก็เหนื่อยแต่พออยู่ไปนานๆก็ปรับตัวได้ การไปเรียน รด. ผมไม่ได้อยากจะหนีการเกณฑ์ทหาร แต่ที่ไปเรียนเพราะอยากเรียนรู้และฝึกตัวเอง อยู่ไปก็เรียนรู้การรักษาเอาตัวรอดมาได้ ตลอดระยะเวลา 12 วัน สร้างมิตรภาพระหว่างเพื่อนต่างโรงเรียน


ผมผ่านการเข้าค่ายฝึกนักศึกษาบังคับบัญชามา 2 ครั้ง แต่ละครั้งก็ได้เพื่อนใหม่ตลอดจากทั่วเขตรับผิดชอบ 3 จังหวัด คือ แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ และลำพูน เรียนรู้วัฒนธรรม ภาษาถิ่นการออกสำเนียง ทำให้เราผูกพันเป็นมิตรสหายที่ดีต่อกัน ไม่ใช่ว่าเป็น รด. ชอบความรุนแรงตีกันตลอด

เมื่ออยู่ปี 2 ผมย้ายมาฝึกที่ค่ายกองพันสัตว์ต่าง ทำให้ผมต้องปรับตัวใหม่อีกครั้ง แต่ในความคิดผม ผมคิดว่ามันสบายกว่าค่ายตอนปี 1 เพราะเวลาโดนซ่อมหัวหน้าไม่ต้องโดนด้วยสบายหละ ฉะนั้นผมแนะนำให้ไปเรียนนักศึกษาบังคับบัญชามาก่อนจะดีกว่า อาบน้ำถึงจะได้อาบคนสุดท้าย แต่ก็ได้อาบนานจนพอใจ กับข้าวที่นี่ก็ใช้ได้ ถือคติว่ากินเพื่ออยู่ไม่ได้อยู่เพื่อกิน อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้ชาย รด. ทุกคนคิดคือ การมาหาสาวหน้าตาดีๆ ขอจีบเป็นแฟน แต่คนอย่างผมหมดสิทธิเพราะรักเดียวอยู่แล้ว 





      ฝึกภาคสนามอยู่ 3 วัน ยอมรับว่าตื่นเต้นเพราะได้นอนกลางดินแข็งๆ กางเต็นท์นอนกันกับเพื่อนสองคนเบียดกันนิดหน่อย เป็นการฝึกความอดทนอีกวิธี
        พอมาปี 3 ผมก็เข้าค่ายที่เดิม แต่มันไม่ได้สบายเหมือนปีที่ผ่านมา หัวหน้าหมวดต้องโดนลงโทษเป็น 2 เท่า ของลูกน้อง ปี 3 สนุกตรงที่เราได้ไปฝึกอยู่ในป่าคลานกันเปื้อนโคลน แบกปืนติดตัวไปตลอด การเรียนอยู่ในห้องเรียนคือสวรรค์ แต่เมื่อใดที่ครูฝึกสั่งให้ไปรับปืนเมื่อนั้นนรกมาเยือนทันที  จากประสบการณ์ของผมตลอดระยะเวลาการเป็น รด. 3 ปีนี้ผมเรียนรู้หลายสิ่งที่ใช้เอาตัวรอดได้ เช่น ต้องเก็บช้อนกับเงินติดตัวเสมอ ตื่นก่อนเวลาสัก 20 นาที เพื่อมาเข้าห้องน้ำจะได้ไม่แย่งกันเข้าตอนเช้าๆ ใส่เครื่องแบบฝึกเตรียมไว้หลังจากเข้าห้องน้ำตอนเช้า ควรเข้าเวรเป็นผลัดแรก เพราะหมดเวรผลัดแรกจะได้หลับยาวถึงตอนเช้า
        ค่ายฝึก รด. สอนอะไรให้มากมาย ให้อะไรที่ไม่มีอยู่ในบทเรียนทั่วๆไป สอนให้รู้การอยู่ร่วมกับคนอื่น เพื่อก้าวสู่ความสามัคคี การฝึกความอดทนกับความกดดันต่างที่ครูฝึกนำมาทดสอบเรา สอนความมีน้ำใจมิตรภาพที่ดีระหว่างเพื่อนต่างโรงเรียน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ฝึกความมีวินัย ความกล้าแสดงออก การเสียสละ ความเป็นผู้นำ สิ่งเหล่านี้บางทีเราหาไม่ได้ในชีวิตประจำวันของเรา แต่การเป็น รด. ได้อะไรมากกว่าที่คุณคิดเยอะ






รู้จักกับเบาหวาน

อะไรคือเบาหวาน?

โรคเบาหวานเป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงขึ้นถึงขนาดที่ร่างกายไม่สามารถนำมาใช้เป็นพลังงานได้ โรคเบาหวานมีอยู่สองชนิด คือโรคเบาหวานชนิดที่ 1 และโรคเบาหวานชนิดที่ 2



 โรคเบาหวานชนิดที่ 1 คนที่เป็นโรคเบาหวานชนิดนี้ เกิดจากที่ร่างกายไม่มีอินซูลิน จึงต้องได้รับการฉีดอินซูลินเป็นเบาหวานที่เกิดกับคนอายุน้อย ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ ประมาณร้อยละ 5-10 ของคนที่เป็นโรคเบาหวานจะป่วยด้วยเบาหวานชนิดนี้



โรคเบาหวานชนิดที่ 2 คนที่เป็นโรคเบาหวานชนิด 2 ไม่ต้องพึ่งยาอินซูลิน มักเกิดกับผู้ใหญ่ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป และคนอ้วน โดยทั่วไปแล้วผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดนี้จะมีอินซูลินในร่างกายมาก แต่มีความผิดปกติบางอย่างที่ไปขัดขวางการทำงานของฮอร์โมนเหล่านี้ ประมาณร้อยละ 90 ของผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวานชนิดนี้


ในช่วงแรกๆของการเป็นเบาหวานนั้น มักจะไม่เกิดอาการใดๆที่โดเด่นปรากฏให้เห็น บางคนอาจจะรู้สึกกระหายน้ำ หิวและปัสสาวะบ่อย คนทั่วไปไม่รู้ตัวว่ากำลังเริ่มป่วย เมื่อเป็นนานๆเข้าก็จะมีอาการ หรือโรคต่างๆ แทรกเข้ามาได้

คำแนะนำสำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน
1.รับประทานอาหารไขมันต่ำ
2.อาหารที่ประกอบด้วยเส้นใยอาหารสูงจะช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดได้
3.การออกกำลังกายอย่างกระฉับกระเฉงจะช่วยเผาผลาญน้ำตาล และกรดไขมันส่วนเกิน
4.การควบคุมน้ำหนักสามมารถช่วยรักษาอาการต่างๆ ของโรคเบาหวานได้







อัศจรรย์ความร้อนใต้พิภพ



โป่งเดือด 
จากบทความที่แล้วที่ผมได้กล่าวถึงการไปท่องเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ “น้ำตกหมอกฟ้า”หลังจากนั้นอีกไม่กี่นาที พวกเราก็ต้องเดินทางออกจากที่นั้น เพราะยังมีอีกเป้าหมายหนึ่งที่เราต้องเดินทางต่ออีกประมาณ 30-40 กิโลเมตรได้ พวกเราก็ไม่รอช้าจึงมุ่งหน้าสู่สถานที่ต่อไป 



เราพักกินข้าวเที่ยงกันประมาณ 14.00 น.ได้ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวร้านหนึ่งในตำบลป่าแป๋ซึ่งผมได้เฝ้ารอมานานที่จะได้ลิ้มรสชาติก๋วยเตี๋ยวแห่งตำบลป่าแป๋






จากนั้นได้เดินทางต่ออีกไม่นานระหว่างที่เดินทางไปนั้นผมมีความรู้สึกว่าถนนสายนี้มีความน่าค้นหาเป็นอย่างมาก อยากรู้ว่ามันจะไปสิ้นสุดที่ใด วิถีชีวิตของผู้คนตลอดสองข้างทางช่างดูเรียบง่าย 
น่าหลงใหล พร้อมกับบรรยากาศเย็นสบาย พอเรามาถึงเป้าหมายของเรา ที่นั้นก็คือ น้ำพุร้อนโป่งเดือด เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมได้มายังสถานที่แห่งนี้ ทั้งๆเกิดเป็นคนอำเภอแม่แตงมาเกือบ 18 ปี 













และหลังจากที่เล่นน้ำเย็นๆมาเมื่อตอนเช้า ตอนเย็นผมจึงลงแช่เท้าในบ่อน้ำพุร้อนให้หายหนาว เป็นทางคล้ายๆลำน้ำเล็กๆลงมาในบ่อน้ำพุที่ไหลลงมาจากข้างบนที่เป็นโป่งเดือด แต่จะว่าไปผมว่ามันร้อนมากกว่าอุ่นอีกนะเนี้ย แช่ไปสักพักทำให้รู้สึกสบายเท้ามากๆ






แต่เวลาก็ไม่หยุดอยู่ที่เดิม ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆแค่หนึ่งวันผมก็รู้สึกมีความสุขที่ได้มาสัมผัสกับบรรยากาศ ได้ร่วมทางกันมากับเพื่อนๆ มายังสถานที่อันน่าทึ่งแห่งนี้ บอกได้เลยว่า “แม่แตงวันเดียวเที่ยวไม่หมด”






การเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางที่คุ้มค่าที่สุดก็เป็นได้ ได้สัมผัสทั้งบรรยากาศในฤดูหนาว ประสบการณ์และมิตรภาพที่ไปไหนไปกัน และถ้าเพื่อนๆหรือนักท่องเที่ยวถ้าท่านเดินทางผ่านถนนสายนี้ก็สามารถแวะเวียนมาสถานที่แห่งนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็น น้ำตกหมอกฟ้า หรือ น้ำพุร้อนโป่งเดือน เปิดให้บริการนักท่องเที่ยว 24 ชั่วโมง ทุกฤดูกาล ทุกๆเรื่องราวในการท่องเที่ยวครั้งนี้แม้จะเป็นแค่เวลาสั้นๆแต่จะยังคงอยู่ในความทรงจำผมตลอดไป



















หมอกฟ้าบ้านเรา

 แอ่วดี ตี้บ้านเฮา
        ในช่วงฤดูหนาว เทศกาลแห่งการท่องเที่ยว ทุกวันศุกร์สุดสัปดาห์ หลายๆคนจะหาสถานที่พักผ่อน เพื่อไปสัมผัสกับอากาศที่หนาว กระผมก็เช่นเดียวกับหลายๆคนที่อยากเที่ยวสัมผัสกันอากาศที่หนาวและสดชื่นกระผมและเพื่อนๆก็เลยตัดสินใจไปเที่ยวกันในช่วงหลังเทศกาลปีใหม่ เราเริ่มต้นการเดินทาง ครั้งนี้มีผู้ร่วมเดินทางทั้งหมดเก้าคน 


สายของวันเสาร์วันที่30 มกราคม 2559 เราออกเดินทาง ทุกคนก็มาถึงจุดนัด และพากันมุ่งหน้าไปยังจุดหมายของเรา จุดหมายที่ว่านั้นก็คือ น้ำตกหมอกฟ้า อยู่ที่ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1095 , สบเปิง , 50150 แม่แตง ,เชียงใหม่  อีกหนึ่งน้ำตกสวยที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย ซึ่งเป็นสถานที่ไม่ไกลนัก อยู่ในอำเภอที่ตนเองอาศัยอยู่ แต่เชื่อสิว่าความงดงามของน้ำตกแห่งนี้ไม่เคยแพ้ความงดงามของน้ำตกแห่งอื่นเหมือนกัน


ท่านใดที่สนใจเเหล่งท่องเที่ยวธรรมชาตไม่ควรพลาดที่นี่ เเต่ถ้าจะมาเเนะนำให้มาช่วงเดือน พฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ นะครับ จะสวยมากประกอบกับอากาศเย็นๆ



ความตื่นเต้นมันอยู่ต่อจากนี้ เมื่อเพื่อนๆผมต่างพากันลงไปเล่นน้ำ คุณลองคิดดูนะว่า เดือนมกราคม หน้าหนาวของจังหวัดเชียงใหม่การเล่นน้ำไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย เพราะมันคงไม่อุ่นเหมือนกับเราแช่ออนเซ็นแน่นอน แต่เพื่อนๆผมก็ลงไปสั่นกันยกใหญ่ ผมก็ไม่น้อยหน้าลูกผู้ชายหนาวกายไม่เท่าไหร่หนาวใจสิอยู่ยาก เลยโดดลงไปกับเพื่อน สัมผัสแรกคือความเย็นสุดจับขั้วหัวใจเลยทีเดียว


การเล่นน้ำครั้งนี้ทำให้ผมเหมือนกับกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง แต่ตอนนั้นผมก็อายุ 17 ปีอยู่นะก็คงเด็กอยู่เหมือนกัน เล่นน้ำกับเพื่อนๆ สะยัดน้ำใส่กันดูๆไปเหมือนช้างเล่นน้ำมากกว่า พอดีว่าเราต้องเดินทางกันต่อจึงอยู่เล่นกันได้ไม่นาน


พอขึ้นมาผมถึงกับวิ่งหาแดดตากตัวเองไว้เหมือนปลาแดดเดียวจากนั้นเราก็เดินทางต่อไปยังสถานที่ต่อไป แต่จะเป็นที่ไหนนั้นโปรดติดตามในบทความต่อไปนะครับ







นักรบมือใหม่

นักรบมือใหม่
      หลายการเดินทางอาจเริ่มด้วยความอยากรู้อยากเห็น และอีกหลายการเดินทางที่เริ่มต้นด้วยความโหยหา สำหรับการเดินทางของผมในครั้งนี้เริ่มต้นด้วยการที่อยากหาประสบการณ์ ด้วยความชอบของผมที่ชอบในการยิงปืนและอยากเป็นทหาร ผมจึงมีความสนหันมาชอบกีฬาที่ชื่อว่า BB GUN ซึ่งเป็นกีฬาที่ใช้ปืนที่คล้ายปืนจริง การแต่งตัวที่คล้ายทหารจริงๆ ในการแข่งขัน 



          เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2559 เป็นวันหยุดที่ผมอยากจะพักผ่อนอยู่บ้าน แต่ในเช้านั้นเอง แม่ของผมก็บอกว่าจะพาไปยังสนามแข่ง ผมจึงรีบลุกขึ้นมาในทันที พร้อมกับหาข้อมูลของสนามแข่งแห่งนั้นผ่านทางอินเตอร์เน็ต จึงพบสนามแข่งขันที่ สนามยุทธกีฬา ป.พัน.7 จากนั้นผมจึงได้สอบถาม เจ้าหน้าที่ทางสนามผ่านทาง facebook เมื่อติดต่อเจ้าหน้าที่ทางสนามเสร็จผมก็เตรียมตัวเดินทางทันที ซึ่งในการเดินทางครั้งนี้ ผมได้ชวนเพื่อนไปด้วยหนึ่งคน พวกเราเดินทางด้วยรถมอเตอร์ไซด์ จากนั้นเราก็นั่งรถสองแถวต่อไปยังสนาม ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 45 นาที เมื่อเราไปถึง สนามแข่งยุทธกีฬา ป.พัน.7

พบกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งจะสอนการใช้อาวุธปืน และกฎต่างๆในการแข่ง ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ให้เราเลือกปืนที่เหมาะกับตัวเองโดยมีค่าใช้จ่าย 250 บาท สอนการบรรจุกระสุนและการยิง รวมทั้งข้อห้ามระหว่างอยู่ในสนาม จากนั้นเราสองคนก็พร้อมจะลงสนามแต่ในเวลานั้นยังไม่มีใครมา เราก็เลยเล่นกันสองคน ซึ่งในครั้งแรกผมถูกยิงเข้าที่แขน และครั้งที่สองก็ถูกยิงเข้าที่หน้าผาก เป็นความรู้สึกที่อยาก
บอกว่า เจ็บมากครับ เเละในครั้งทีสามผมจึงสามารถเอาคืนได้


หลังจากนั้นเราก็พัก ผมก็เริ่มเห็นผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆทยอยกันเข้ามาในสนาม เมื่อมีผู้เข้าแข่งขันมากพอ เจ้าหน้าที่จึงจัดทีมให้กับเราแบ่งเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายละ 4-5 คน โดยเมื่อถูกยิงจะมีผ้าสีขาว 5 ผืน ให้นำมาพันไว้ตรงส่วนไหนของร่างกายก็ได้ จึงจะสามารถกลับไปแข่งต่อได้ ในการแข่งครั้งนี้ผมใช้ผ้ามากอยู่เหมือนกัน ถึงแม้จะวิ่งและหลบอย่างดีแต่ก็ถูกยิงอยู่ตลอดเพราะผมประสบการณ์ยังน้อย และพวกพี่ๆหลบเก่งมากแถมยิงแม่นมากๆด้วย




พอถึงเวลาประมาณสองโมงกว่าเราก็เดินทางกลับบ้าน การเดินทางครั้งนี้เป็นการหารประสบการณ์ที่ดีจริงๆ และกีฬาชนิดนี้ยังสอนอะไรหลายๆอย่าง ทั้งความมีน้ำใจนักกีฬา ฝึกการตัดสินใจ ฝึกความคล่องแคล่วและความอดทนของร่างกาย หวังว่าเร็วๆนี้ผมจะมีโอกาสได้ไปอีกพร้อมกับชวนเพื่อนอีกหลายๆคนไปด้วย